กลยุทธ์เผชิญศึก

ในเชิงธุรกิจ จิตวิญญาณผู้ประกอบการของนักธุรกิจทรงอิทธิพลที่สร้างฐานะด้วยตัวเองหรือใครก็ตามที่เริ่มต้นจากเศษเงินน้อยนิด คือการสร้างบางสิ่งบางอย่างจากความไม่มี แต่การใช้กลยุทธ์ "ในไม่มี ทำให้มี" นี้ ต่อยอดไปมากกว่านั้น เพราะยังหมายถึงผู้ประกอบการที่สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ โดยไม่มีตัวช่วยใด ๆ เขาต้องใช้ความคิดริเริ่มและเวลาให้เกิดประโยชน์และเปลี่ยนเรื่องราวในเหตุการณ์ให้เป็นคุณแก่ตน ด้วยความพยายามนี้เอง ความไม่มีจึงกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และยังเป็นกลยุทธ์ที่ทำหน้าที่เป็นมาตรการชั่วคราวช่วยให้ผู้ประกอบการยังอยู่รอดในธุรกิจได้แม้มีแค่มือเปล่า

• สติปัญญาและการปรับเปลี่ยนซ่อนอยู่ภายใต้กลยุทธ์นี้ ในตลาดที่แข่งขันกันอย่างยุติธรรม ไม่ควรใช้วิธีการหลอกลวง ผู้ประกอบการควรเคารพกฎ กติกา มารยาท และพยายามชิงข้อได้เปรียบด้วยกลวิธีที่ถูกที่ควร

• พนักงานขายควรรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น เป้าหมายเพื่อให้มีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเหนือกว่าคนอื่น ปรับปรุงการบริการ ขยายช่องทางการขาย และสร้างกลวิธีการขายใหม่ ๆ พนักงานโฆษณาและประชาสัมพันธ์ควรมุมานะสร้างความแปลกใหม่เพื่อให้เกิดผลตอบรับอย่างฮือฮา และสร้างความรับรู้ต่อตัวสินค้าให้ผู้บริโภครู้จักผลิตภัณฑ์มากขึ้น

ความคิดเห็นเพิ่มเติม 
"ถ้าใช้กลยุทธ์อย่างชาญฉลาด ความมีหรือบางอย่างก็สามารถสร้างขึ้นได้จากความไม่มี  การใช้ผิดพลาดก็อาจเปลี่ยนความมีให้เป็นไม่เหลืออะไรเลย กุญแจสำคัญอยู่ที่เราจะสร้างและใช้โอกาสนั้นอย่างไร"

กรณีศึกษาทางธุรกิจ

กรณีศึกษาที่ 20 : เริ่มต้นจากศูนย์ บุกเบิกตลาดใหม่ [คลิกดู]

กรณีศึกษาที่ 21 : ตุ๊กตางานต่อผ้า เติมเต็มหัวใจโดดเดี่ยว [คลิกดู]

ในสนามการค้าที่คู่ต่อสู้เข้มแข็ง การปะทะอย่างแข็งกร้าวไม่เกิดประโยชน์ ผู้ประกอบการต้องมีแผนงานที่ดีมีประสิทธิภาพจึงจะสามารถนำหน้าคู่แข่งและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ

• เมื่อจะใช้กลยุทธ์ "ลอบข้ามเฉินชัง" การรุกซึ่งหน้าจะเป็นการแสร้งว่าโจมตีเท่านั้น เพื่อเป็นกลลวงหันเหความสนใจ แต่แท้จริงจะเป็นการโจมตีตลบหลัง

• เพื่อชัยชนะ ผู้ประกอบการที่ฉลาดหลักแหลมจะไตร่ตรองอย่างดีก่อนเผยจุดอ่อนต่อคู่แข่งขัน ฝ่ายตรงข้ามจะยินดีทำงานให้เราถ้าเราทำให้เขาพอใจและลวงตาด้วยท่าทีอ่อนแอ ถ้าทำเช่นนี้ได้ เราก็อยู่บนถนนที่มุ่งสู่เป้าหมายแล้ว

"ลอบข้ามเฉินชัง" และ "ส่งเสียงบูรพา โจมตีประจิม" ล้วนเป็นการสร้างภาพลวง สร้างความสับสนแก่คู่แข่ง ใช้ภาพลวงปิดบังการรุกที่แท้จริง แต่จุดแตกต่าง คือ

1. กลยุทธ์แรกนั้น ปิดบังเส้นทางโจมตี แต่กลยุทธ์หลังซ่อนเร้นเป้าหมาย

2. "ลอบข้ามเฉินชัง" เป็นการรุกสองทางพร้อมกัน ที่เปิดเผยคือโจมตีฝ่ายตรงข้ามในจุดที่ไม่สำคัญ หรืออาจรุกตีแบบสิ้นคิด แต่ในทางลับกลับทะลวงจุดสำคัญอย่างย่อยยับ ส่วน "ส่งเสียงบูรพา โจมตีประจิม" ใช้การรุกเพียงด้านเดียว แต่โจมตีเป้าหมายลวงอย่างเปิดเผย ชักนำให้คู่ต่อสู้เคลื่อนย้ายกำลังหลักไปที่เป้าหมายลวงนั้น แล้วตลบหลังทำลายเป้าหมายที่แท้จริง

ความคิดเห็นเพิ่มเติม 
"การใช้กลยุทธ์ลอบข้ามเฉินชัง ต้องระวังแยกแยะความแตกต่างกับส่งเสียงบูรพาโจมตีประจิม กลยุทธ์ทั้งสองนี้คล้ายกันมาก จึงสับสนกันได้ง่าย"

กรณีศึกษาทางธุรกิจ

กรณีศึกษาที่ 22 : ทากาวติดเหรียญทอง โฆษณาพลังยึดเกาะของกาว [คลิกดู]

กรณีศึกษาที่ 23 : ใช้บริการแปลกใหม่ ดึงดูดใจลูกค้า [คลิกดู]

กลยุทธ์นี้เหมาะกับสถานการณ์ที่ยังไม่ควรออกรบ ในการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดย่อมมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างกัน "ไฟ" จึงมักเกิดขึ้นได้บ่อย 

ผู้ประกอบการที่ชาญฉลาดต้องระวัง 3 เรื่อง คือ

1. อดทน อย่าบุ่มบ่าม

2. สังเกตการณ์ความเสียหายของคู่แข่ง

3. รอคอยและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

กลยุทธ์ "อยู่อีกฟากฝั่งมองดูไฟ" คือการรอคอยอย่างสงบนิ่ง เก็บเกี่ยวประโยชน์จากความเสียหายฉากสุดท้าย แต่ที่ยิ่งสำคัญคือการใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว และคล้อยตามสภาพการณ์

• โอกาสทางธุรกิจมีอยู่ทุกหนแห่ง แต่เราไม่อาจคว้ามาได้โดยการผสมโรงไปกับคนอื่นได้ทุกครั้งไป ต้องอดทนดิ้นรนให้เข้าใจกระแสตลาด จากนั้น ฉวยคว้าโอกาสและประทับหมดหมายของเราก่อนที่คนอื่นจะมองเห็น

• กลยุทธ์นี้หลักแหลมที่การไม่บุ่มบ่ามเข้ารุกอย่างคนตาบอด อันจะชักนำไฟเผาไหม้ตนเอง แต่นั่งคอยอย่างสงบ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจึงโจมตีและช่วงชิงสิ่งที่ต้องการ

ความคิดเห็นเพิ่มเติม 
"ผู้ประกอบการที่ฉลาดจะอยู่อีกฟากฝั่งมองดูไฟอย่างมีสติ ไม่บุ่มบ่ามเข้าตะลุมบอนอย่างคนตาบอด หลีกเลี่ยงเส้นทางเสี่ยงอันตราย แล้วชัยชนะจะเป็นของเรา"
"ในขณะที่เฝ้าสังเกตการณ์อย่างสงบ ต้องสร้างและสะสมกำลังไปด้วย เพราะเราต้องใช้เมื่อถึงเวลาเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ มิฉะนั้น จะสูญเสียโอกาสที่ดีไป"

กรณีศึกษาทางธุรกิจ

กรณีศึกษาที่ 24 : สร้างการแข่งขัน เพื่อเลือกคู่ค้า

กรณีศึกษาที่ 25 : สังเกตการณ์และชี้ทิศทางธุรกิจให้แม่นยำ

กรณีศึกษาที่ 26 : หาสปอนเซอร์เพื่อสร้างการแข่งขัน

กับลูกค้า เราต้องจริงใจและรักษามาตรฐานบริการระดับสูงให้ดี นั่นคือขยายการขายและดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคให้เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ลูกค้าอาจจะเป็นคู่แข่งของเรา ก็ต้องรักษาความสัมพันธ์และสร้างฐานความร่วมมือฉันมิตรสหาย

• ในทุกบริษัทควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริการ แต่ความจริงในการแสวงหาส่วนแบ่งตลาดเพิ่มนั้น กลับไม่มีความพยายามใด ๆ สำรองไว้เพื่อให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า อีกทั้งไม่มีการทำเรื่องนี้ไว้เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าเลย

• แน่นอนว่าความห่วงกังวลอันใหญ่หลวงของธุรกิจคือ ผลกำไร ด้านบวกของกลยุทธ์นี้จึงใช้ "รอยยิ้ม" ซึ่งก็คือสินค้าที่มีคุณภาพและบริการที่ดี เพื่อกลบเกลื่อนเป้าหมายการทำกำไร และใช้วิธีนี้เพื่อบรรลุให้ถึงเป้าหมายนั้น

• รอยยิ้ม คือการลงทุนอย่างหนึ่ง เป็นการลงทุนทางความรู้สึก ที่สามารถนำผลกำไรอันงดงามมาให้แก่นักลงทุนได้เหมือนกับการลงทุนด้วยเงิน เมื่อลูกค้าได้รับความรู้สึกดี ๆ พวกเขาจะเพิ่มการใช้จ่ายโดยไม่ไยดีว่าจะต้องจ่ายแพง

ความคิดเห็นเพิ่มเติม 
"กลยุทธ์ภายนอกสงบและอ่อนโยนเพื่อลวงให้ศัตรูไขว้เขวแต่เตรียมการไว้อย่างลับ ๆ เมื่อโอกาสสุกงอมจึงตวัดดาบสังหารศัตรู "รอยยิ้ม" แสดงถึงความซื่อตรง ร่วมมือด้วยจริงใจ การบริการดี และสินค้ามีคุณภาพ ประกอบกับความหมั่นเพียร เป้าหมายการเพิ่มกำไรย่อมบรรลุผล"

กรณีศึกษาที่ 27 : สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าด้วยการขายเชื่อ (ให้เครดิต)

กรณีศึกษาที่ 28 : บริการมีคุณภาพในราคาพิเศษ

กรณีศึกษาที่ 29 : ครอบครองความไว้ใจของลูกค้าด้วยการรับประกันไม่จำกัด

ไม่ง่ายที่จะเข้าใจและใช้กลยุทธ์ "ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ" นี้ เมื่อต้องเลือกระหว่างเก็บเกี่ยวผลประโยชน์บางส่วนในระยะยาวกับผลกำไรทั้งหมดทันที ผู้ประกอบการต้องสายตากว้างไกลและวางแผนด้วยวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญ

ในโลกธุรกิจอันโหดร้าย ความล้มเหลวนั้นยากจะหลีกเลี่ยงเมื่อเราพบความพ่ายแพ้ พยายามเชื่อมปัญหาที่อยู่ในขอบข่ายจำกัดให้สัมพันธ์กับภาพใหญ่ บ่อยครั้งที่ผู้คนได้เรียนรู้จากความล้มเหลวได้มากกว่าความสำเร็จ จ้องมองความล้มเหลวได้มากกว่าความสำเร็จ จ้องมองความล้มเหลวในดวงตา เรียนรู้จากความผิดพลาด แล้วเราจะสัมฤทธิ์ผล ผู้แพ้วันนี้จะกลายเป็นผู้ชนะในวันพรุ่งนี้

การริเริ่มสิ่งใหม่เป็นแหล่งกำเนิดการพัฒนาธุรกิจ การปรับตัวให้กับตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จำเป็นต้องผลิตความคิดใหม่ ๆ และปรับปรุงใหม่ทันที เราจึงจะรักษาความรุ่งเรืองไม่เสื่อมถอยไว้ได้ ใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่แทนที่ทักษะและสินค้าที่ล้าสมัย เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจจะแข็งเรงและสดใสไปอย่างยาวนาน

ความคิดเห็นเพิ่มเติม 
"ผู้ที่สามารถปรับตัวตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ และปรับโฉมใหม่ให้ตัวเองได้ทันที ย่อมจะมีชัยในสงครามธุรกิจ"

กรณีศึกษาทางธุรกิจ

กรณีศึกษาที่ 30 : ละทิ้งกำไรผลประโยชน์บางส่วนเพื่อชัยชนะในภาพรวม [คลิกดู]

กรณีศึกษาที่ 31 : ผันไปผลิตสินค้าใหม่ให้เหมาะสมกับเวลา [คลิกดู]

กรณีศึกษาที่ 32 : เปลี่ยนแปลงฤดูการขายเพื่อเปิดตลาดใหม่ [คลิกดู]

จุดสำคัญของกลยุทธ์ "จูงแพะติดมือ" นี้คือ

1. ไม่ละทิ้งและไม่ยอมเสียสละเป้าหมายสำคัญ "แพะ" เป็นเพียงเหยื่อของการล่าโดยบังเอิญ

2. "จูงแพะติดมือ" จะต้องใช้แรงพยายามมากจึงเป็นการดีที่สุดที่เราหันความสนใจกลับมาที่เป้าหมายสำคัญ ผลได้ที่สำคัญรองลงมาสามารถพิจารณาภายหลัง

พุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายและทำให้เต็มกำลัง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล บ่อยครั้งกลยุทธ์ทักษะ แรงบันดาลใจ และการสร้างสรรค์ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจมักจะพบได้จากส่วนที่อยู่นอกเหนือการบริหารปกติ

• อย่ามัวแต่นั่งรอยามสะดวกที่จะได้ "จูงแพะ" ต้องสร้างโอกาสขึ้นเอง เพื่อให้เราสามารถ "จูงแพะติดมือ" มาได้

• โอกาสจะมาเคาะประตูบ้านของผู้เตรียมพร้อมลงมือเท่านั้น ขอเพียงมีกลยุทธ์ที่ไตร่ตรองอย่างดีหรือก็คือมี "แพะ" อยู่ในใจ ก็สามารถค้นพบโอกาสและ "จูงแพะติดมือ" มาได้

ความคิดเห็นเพิ่มเติม 
"ตราบใดที่เป็นประโยชน์ ก็ติดมือไปไม่เสียหาย"

"ฉวยคว้าโอกาสให้ไวก่อนจะหลุดมือไป เตรียมตัวให้พร้อม เก็บภาพใหญ่ไว้ในใจแต่เริ่มต้นจากจุดย่อย เก็บเล็กผสมน้อย ผลได้นิดหน่อยจะสะสมจนกลายเป็นผลประโยชน์ก้อนใหญ่ ทำไปทีละขั้นตอน แล้วเราจะครองชัยชนะอันสง่างาม"

กรณีศึกษาทางธุรกิจ

กรณีศึกษาที่ 33 : ยืมใช้ช่องทางการขายเดิมเพื่อขยายธุรกิจ [คลิกดู]

กรณีศึกษาที่ 34 : นำความสะดวกถึงลูกค้า ช่วยให้การขายขยายตัว [คลิกดู]

กรณีศึกษาที่ 35 : เปลี่ยนขยะให้เป็นขุมสมบัติ [คลิกดู]

กรณีศึกษาที่ 36 : ค้นพบโอกาสทางธุรกิจอย่างทันการ [คลิกดู]